1.สื่อสัญญาณทางสาย มี 3 แบบ ได้แก่
1.1 สายคู่บิดเกลียว (Twisted Pair Cable) สายคู่บิดเกลียวประกอบด้วยสายทองแดง 2 เส้น แต่ละเส้นมีฉนวนหุ้มพันกันเป็นเกลียว
สามารถลดการรบกวนจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้าได้ แต่ไม่สามารถป้องกันการสูญเสียพลังงานจากการแผ่รังสีความร้อนในขณะที่มีสารส่งสัญญาณ สายคู่บิดเกลียว 1 คู่แทนการสื่อสารได้ 1 ข่องทางสื่อสาร (Chanel) สำหรับการใช้งานจริง เช่น สายโทรศัพท์จะเป็นสายรวมที่ประกอบด้วยสายคู่บิดเกลียวอยู่ภายในเป็นร้อยๆคู่
สายคู่บิดเกลียวสามารถใช้ได้ทั้งการส่งสัญญาณข้อมูลแบบอนาล็อกและแบบ ดิจิตอล และเนื่องจากสายคู่บิดเกลียวจะมีการสูญเสียสัญญาณ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีเครื่องขยายสัญญาณ (Amplifier) สำหรับการส่งสัญญาณข้อมูลแบบดิจิตอล
- สายคู่บิดเกลียวแบบไม่มีฉนวนหุ้ม ( Unshielded Twisted Pair : UTP ) เป็น สายคู่บิดเกลียวมีฉนวนชั้นนอกที่บางอีกชั้น ทำให้สะดวกในการโค้งงอ แต่สามารถป้อกกันการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้น้อยกว่าแบบมีฉนวนหุ้ม ราคาต่ำ นิยมใช้ในการเชื่อมต่ออุปกรณ์
-สายคู่บิกเกลียวแบบมีฉนวนหุ้ม (Shielded Twisted Pair: STP ) เป้นสายคู่บิดเกลียวที่หุ้มด้วยลวดถักชั้น เพื่อป้องกันการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
หัวเชื่อมต่อ (Modular Plugs) สายคู่บิดเกลียวจะใช้หัวเชื่อมต่อแบบ RJ-45 ซึ่งมี 2 ประเภท คือ RJ-45 และ RJ-11
1.2 สายโคแอ็กเชียล (Coaxial Cable) ประกอบด้วยลวดทองแดงอยู่ตรงกลางหุ้มด้วยฉนวนใช้ในระบบโทรทัศน์และวิทยุ
สายโคแอ็กเชียลสามารถถ่ายทอดสัญญาณได้ 2 แบบ คือ
1.บรอดแบนด์ (Broadband Transmission)
-แบ่งสายสัญญาณเป็นช่องสัญญาณขนาดเล็กจำนวนมาก
-แต่ละช่องสัญญาณสามารถรับ-ส่งข้อมูลได้พร้อมกัน
-ส่งสัญญาณแบบอนาล็อก
-ใช้ในการส่งสัญญาณโทรทัศน์ได้หลายร้อยช่อง เช่น Cable TV
2.เบสแบนด์ (Baseband Transmission)
-มีเพียงช่องสัญญาณเดียว
-มีความกว้างของช่องสัญญาณมาก
-การส่งสัญญาณเป็นแบบ Half Duplex
-ใช้ในระบบ Lan ส่งสัญญาณแบบ Digital
-อุปกรณ์มีความซับซ้อนน้อยกว่าบรอดแบนด์
ข้อดี
-มีประสิทธิภาพและความต้านทานต่อการรบกวนสูง
ข้อเสีย
-ราคาแพงกว่าสายคู่บิดเกลียว
หัวเชื่อมต่อ สายโคแอ็กเซียลจะใช้หัวเชื่อมต่อที่เรียกว่าหัว BNC ซึ่งมีหลายแบบดังต่อไปนี้
1) หัวเชื่อมต่อแบบ BNC (BNC Connector) เป็นหัวที่เชื่อมเข้ากับปลายสาย
2)หัวเชื่อมต่อสายรูปตัว T (T Connectoe) ใช้เชื่อมต่อระหว่างสายสัญญาณ
3)ตัวสิ้นสุดสัญญาณ (Terminator) ใช้ในการสิ้นสุดสัญญาณที่ปลายสายเพื่อไม่ใช้สัญญาณที่ส่งมาถูกสะท้อนกลับ
1.3 สายใยแก้วนำแสง (Optical Fiber) ประกอบด้วยเส้นใยที่ทำมาจากใยแก้ว 2 ชนิด ชนิดหนึ่งจะอยู่แกนกลาง ส่วนอีกชนิดอยู่ที่ด้านนอก
ข้อดีของสายใยแก้วนำแสง
1)ส่งข้อความด้วยความเร็วสูง
2)ไม่มีการรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้า
ข้อเสียของสายใยแก้วนำแสง
1)มีคาราแพง
2)ต้องใช้ความชำนาญในการติดตั้งมากกว่าสายส่งข้อมูล
3)มีค่าใช้จ่ายสูง
2.สื่อสัญญาณไร้สายสื่อกลางที่นำมาใช้ในการสื่อสารข้อมูลอีกประเภทหนึ่งซึ่งไม่มีลักษณะทางกายภาพปรากฏให้เห็น
2.1ระบบไมโครเวฟ (Microwave System) การส่งสัญญาณข้อมูลไปกับคลื่นไมโครเวฟเป็นการว่งสัญญาณข้อมูลแบบรับข้อมูลแบบรับช่วงต่อๆกันจากหอสถานี
2.2การสื่อสารด้วยดาวเทียม (Satellite Transmission) ดาวเทียม คือ สถานีไมโครเวฟบอยฟ้า ซึ่งทำหน้าที่ขยายและทบทวนสัญญาณข้อมูล
ลักษณะการใช้งานดาวเทียมสื่อสาร มีดังนี้
การแพร่ภาพโทรทัศน์ (Television Distribution) ดาวเทียมสื่อสารเหมาะสำหรับการแพร่ภาพโทรทัศน์ เนื่องจากดาวเทียมสื่อสารมีธรรมชาติของ broadcasting อยู่
โทรศัพท์ทางไกล (Long - Distance Tele[hone Transmission) ใช้เชื่อมโยงระหว่างชุมสายโทรศัพท์แทนสายผ่านแบบจุดถึงจุด
แต่ละจุดแบ่งกันใช้ช่องสัญญาณของดาวเทียมในการส่งข้อมูลไปยังสถานีภาคพื้นดินกลาง
1)เครื่องส่วสัญญาณคลื่นวิทยุ (Radio Transmitters) จุดเริ่มต้นของการส่งคลื่นวิทยุประกอบด้วยการสร้างสัญญาณที่เป็นสื่อหรือพาหะ
2)เครื่องรับสัญญาณ (Communication Receiver) เครื่องรับสัญญาณทำหน้าที่การเลือกช่องสัญญาณที่ต้องการออกมาจากสัญญาณอื่นๆ
3)สายส่งและสายอากาศ (Transmission and Antenna) ก่อนที่จะมีการส่งสัญญาณออกไปจะต้องมีการส่งผ่านสัญญาณทางสายก่อน มีส่วนประกอบ 2 ส่วน คือ สายส่งสัญญาณ(Transmission Line) และสายอากาศ(Antenna)
2.4 ระบบที่ใช้คลื่นแสงเป็นพาหะ (Light Carrier) ระบบการสื่อสารข้อมูลโดยใช้แสงเป็นพาหะส่วนมากใช้แสงอินฟราเรดเป็นตัวกลางในการสื่อสาร
ระบบอินฟราเรด (Infrared) เป้นระบบที่ใช้เทคโนโลยีเช่นเดียวกับ Remote Contrl ของเครื่องโทรทัศน์ ระบบนี้จะมีข้อจำกัดที่ต้องใช้งานเป็นเส้นตรงต้องไม่มีสิ่งกีดขวาง หรือระบบสเปกตรัมแถบกว้าง(Spread Spectrum)
ข้อมูลนี้นำมาจาก เว็บ https://sites.google.com/site/ngoracing123/home/prapheth-khxng-sux-klang-thi-chi-ni-kar-suxsar-khxmul
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น